ต้องอยู่ห่างไกลแค่ไหน
จึงจะปลอดภัยจากคนจาม
ช่วงที่ผ่านมา คงจะ ไม่มีข่าวไหนมาแรงเกินกว่าเรื่องหวัดมรณะ
หรือ โรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง ซึ่งแปลมาจากคำว่า
Severe Acute Respiratory Syndrome (SARS) ที่สื่อสิ่งพิมพ์หลายฉบับเรียกว่า
ซารส์ ... ฟังเผิน ๆ คล้ายกับ ส่า (ไข้) เหมือนกันนะครับ
สถิติที่แสดงให้เห็นถึงความน่ากลัวของการระบาด ไม่ว่าจะเป็นจำนวนผู้ติดเชื้อ
หรือผู้เสียชีวิต ลักษณะอาการของผู้ที่ติดเชื้อ รวมทั้งวิธีการป้องกันตัว
คงจะมีให้เห็น ตามสื่อต่าง ๆ มาพอสมควรแล้ว แต่ที่ยังไม่ค่อยพูดถึงกันมากนัก
ก็คือ ตัวต้นเหตุ และกลไกการแพร่ระบาดที่เกี่ยวข้อง
ซึ่งเมื่อทราบแล้ว ก็คงจะช่วยให้เข้าใจรอบด้าน ขึ้นอีกนิดดีไหมครับ
เชื้อโรคที่น่าจะเป็นต้นเหตุ เป็นไวรัส ที่อยู่ในสกุล
(genus) ที่มีชื่อว่า โคโรนาไวรัส (Coronavirus) ไวรัสสกุลนี้
ได้ชื่อ อย่างนี้เพราะมีรูปร่างกลม ๆ แถมสวมมงกุฎอยู่โดยรอบ
(คำว่า corona มีรากศัพท์ มาจากภาษาลาติน ซึ่งแปลว่า
มงกุฎ) แต่แบบนี้คงเป็นได้แค่ นางมารสวมมงกุฎ ไม่ใช่นางงามแน่!
ไวรัสในสกุลนี้ตัวเดิมที่เคยรู้จักกันนั้น เป็นสาเหตุของไข้หวัดราว
15% ของไข้หวัดทั้งหมด
ภาพที่แสดงไว้นี้เป็นโคโรนาไวรัสชนิดหนึ่ง ที่เรียกว่า
229E ไม่ใช่ตัวต้นเหตุ ของ SARS ช่วงแรก
ๆ ที่ข่าวเริ่มโหมกระพือนั้น สื่อบางสื่อให้ข้อมูลว่า
เชื้อนี้สามารถ ล่องลอย และแพร่ไปในอากาศได้ไกล ๆ ซึ่งฟังแล้วน่ากลัวจริง
ๆ
แต่มาระยะหลัง เริ่มเชื่อกันว่า เชื้อไวรัสมงกุฎนี่
น่าจะแพร่ด้วยกลไกการแพร่เชื้อ โดยการเกาะไป กับหยดของเหลว
และการสัมผัสกับเชื้อโดยตรง ซึ่งฟังดูน่ากลัวน้อยกว่านิดหน่อย
(แต่ก็ยังน่ากลัวอยู่ดี) แต่ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว มาดูกันซักหน่อยว่าการแพร่เชื้อใน
3 ลักษณะนี้ต่างกันยังไง
ถ้าเชื้อโรคเกาะไปกับหยดของเหลวหรือฝุ่นขนาดเล็ก ๆ (เท่ากับ
5 ไมครอน หรือเล็กกว่า) ที่ล่องลอยอยู่ในอากาศได้นาน
ๆ แบบนี้ ลมพัดไปทางไหน เจ้าเชื้อที่เกาะ กับหยดของเหลวหรือฝุ่น
ก็จะเฮไปทางนั้นด้วย แบบนี้เรียกว่า การแพร่เชื้อไป
ในอากาศ (airborne transmission) ครับ
แต่ถ้าเชื้อโรคเกาะไปกับหยดของเหลวขนาดใหญ่ (ใหญ่กว่า
5 ไมครอน) เช่น บางส่วนที่เราไอหรือจามออกมา อย่างนี้ก็เรียกว่า
การแพร่เชื้อไปกับหยดของเหลว (droplet transmission)
ซึ่งในแง่ของระยะทางแล้ว จะดูน่ากลัวน้อยกว่าแบบแรก
ที่แพร่ไปในอากาศ เพราะหยดของเหลวที่มีขนาดใหญ่นั้น
จะไปไหนไม่ได้ไกล ๆ อย่างเก่งก็ 3 ฟุต (เกือบ ๆ 1 เมตร)
จากคนที่ฮัดชิ้วออกมา คุณหมอบางท่าน อาจเพิ่ม ระยะออกไปเป็น
5 ฟุต ด้วยซ้ำ เพราะยิ่งไกลก็ยิ่งลดโอกาสเสี่ยง ส่วนในกรณีที่ใครไอหรือจามแล้วคว้าผ้าเช็ดหน้าหรือกระดาษทิชชูไม่ทัน
แค่ใช้มือป้องปาก แล้วเกิดเผลอไปจับสิ่งของต่าง ๆ โดยยังไม่ได้ล้างมือ
ไม่ว่าจะเป็น ลูกบิดประตู ดินสอ ปากกา หรือหูโทรศัพท์
ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ถ้ามีใครได้สัมผัสกับ ของชิ้นดังกล่าวก็อาจจะรับเอาเชื้อไปได้โดยตรง
ยิ่งถ้าคนที่สัมผัสเผลอแตะจมูก หรือขยี้ตาก็จะติดเชื้อได้
แบบนี้แหละที่เรียกว่า การแพร่เชื้อแบบสัมผัสโดยตรง
(contact transmission)
สำหรับเชื้อไวรัสต้นเหตุของ SARS นั้น เชื่อกันว่าน่าจะแพร่โดยกลไก
แบบที่สอง คือ เชื้อแพร่ไปกับหยดของเหลว เป็นหลัก ตามมาด้วยแบบที่สามคือ
การแพร่แบบสัมผัสโดยตรง ส่วนแบบแรกนั้น บางท่านก็ยังเผื่อ
ๆ ใจไว้นิดหน่อยว่า อาจจะเป็นไปได้บ้างเหมือนกัน
เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ก็คงต้องทบทวนวิธีการป้องกันการติดเชื้ออย่างง่าย
ๆ ที่รู้กันมา ตั้งแต่เด็ก คือ ล้างมือให้สะอาดบ่อย
ๆ โดยเฉพาะก่อนทานอาหาร หรือสัมผัสกับจมูก หรือตา หรือถ้าคุณต้องทำงานที่พบกับคนมาก
ๆ เช่น งานบริการ ก็จะดีไม่น้อย ที่ใส่ หน้ากากป้องกันเอาไว้
ผมเพิ่งไปธนาคารแห่งหนึ่งมา ปรากฏว่าพนักงานเกือบทุกคน
ใส่หน้ากาก ยกเว้นบางท่านที่บอกว่า รำคาญ แต่บ่น ๆ เกี่ยวกับ
SARS ว่า สยอง!
พยายามติดตามข่าวและทำตามคำแนะนำจากกระทรวงสาธารณสุข
บวกสามัญสำนึก นิดหน่อยก็จะช่วยลดความเสี่ยงลงไปได้บ้างแล้วครับ
... ฮัด .. ฮัด... ฮัด... ฮัด ... ชิ้วววว!!! (อย่าลืมอยู่ห่างจากผมอย่างน้อย
3 ฟุต ล่ะ)